กระทะมีกี่แบบกี่ชนิด?
เราสามารถแบ่งประเภทกระทะง่าย ๆ ได้เป็น 2 แบบ คือแบบธรรมดา และแบบเคลือบ
1.กระทะธรรมดา คือกระทะที่เราใช้กันส่วนใหญ่มาตั้งแต่โบราณ อายุการใช้งานยาวนาน ร้อนเร็ว กระทะธรรมดาจะมีทั้งหมด 5 ชนิด คือ
- กระทะเหล็ก
- กระทะทองเหลือง
- กระทะอลูมิเนียม
- กระทะกริลล์อลูมิเนียม
- กระทะสเตนเลส
2.กระทะแบบเคลือบ คือการนำกระทะแบบธรรมดามาเคลือบสาร Non-stick ทำให้อาหารไม่ติดกระทะ ทำอาหารได้โดยไม่ต้องใส่น้ำมันมาก ๆ หรือจะเอามาปิ้งย่างก็ยังได้ เหมาะกับสายสุขภาพที่ไม่ชอบน้ำมันเป็นที่สุด แถมยังทำความสะอาดได้ง่าย แต่ต้องใช้อย่างทะนุถนอมคงไม่เหมาะกับคนที่ต้องใช้ความเร็วในการทำอาหาร และกระทะเคลือบส่วนใหญ่มีราคาที่สูงกว่าแบบธรรมดา กระทะแบบเคลือบจะมีทั้งหมด 2 ชนิด คือ
- กระทะเทฟลอน
- กะทะเคลือบหินอ่อน
1.กระทะเหล็ก
กระทะเหล็กหล่อ มีรูปร่างที่หนาทำให้ร้อนช้า แต่ว่าร้อนนาน และมีการกระจายความร้อนที่สม่ำเสมอ มีความทนทานเป็นเลิศ ให้ความร้อนจัด การเลือกใช้กระทะเหล็กนั้นจะเหมาะกับการทอดที่สุด โดยเฉพาะการทอดที่ใช้น้ำมันเยอะ ๆ แต่ในปัจจุบันความนิยมของกระทะเหล็กก็น้อยลงไปเพราะราคาที่สูง และน้ำหนักที่มาก
- ประเภท : ธรรมดา
- ความแข็งแรง : 4.5
- การนำความร้อน : 4.5
- เหมาะสมกับอาหารชนิด : เหมาะกับการทอด
- จุดแข็ง : ทนทาน ร้อนเร็ว เก็บความร้อนได้ดี
- จุดอ่อน : เป็นสนิมง่าย และมีน้ำหนักมาก
TIP : เช็ดให้แห้งก่อน แล้วจึงทาน้ำมันบาง ๆ เพื่อป้องกันการเกิดสนิม
2.กระทะทองเหลือง
กระทะประเภทนี้ทุกคนจะคุ้นตากันดีกับขนมไทย เพราะชนิดของกระทะทองเหลืองมีการกระจายความร้อนที่สม่ำเสมอ และมีรูปร่างคล้ายหม้อ จึงเหมาะกับการกวนขนม ทำให้ขนมออกมาสวยงาม เพราะไม่ค่อยติดกระทะ อีกทั้งการเลือกใช้กระทะทองเหลืองนั้นยังเหมาะกับการทอด และผัดด้วย แต่ด้วยรูปทรงที่ใหญ่จึงไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่
- ประเภท : ธรรมดา
- ความแข็งแรง : 3
- การนำความร้อน : 3
- เหมาะสมกับอาหารชนิด: เหมาะกับขนมไทย
- จุดแข็ง: อาหารไม่ค่อยติดกระทะ กระจายความร้อนได้สม่ำเสมอ
- จุดอ่อน : มีราคาสูง
TIP : ไม่ถูกกับของเปรี้ยว ทิ้งไว้นานกระทะจะเป็นด่าง
3.กระทะอลูมิเนียม
เป็นกระทะที่เหมาะกับคนที่ชอบความสะดวกสะบายมาก เพราะร้อนเร็ว และมีน้ำหนักเบา การเลือกใช้กระทะอลูมิเนียมจึงเหมาะกับการผัด ใครอยากโชว์ลีลาการผัดแบบจัดเต็มควรใช้กระทะชนิดนี้เลย แต่ไม่เหมาะกับการทอดเพราะจะทำให้อาหารติดกระทะได้ง่าย
- ประเภท : ธรรมดา
- ความแข็งแรง : 2
- การนำความร้อน : 3.5
- เหมาะสมกับอาหารชนิด : อาหารประเภทผัด
- จุดแข็ง : ร้อนเร็ว เบา ไม่เป็นสนิม
- จุดอ่อน : เก็บความร้อนได้ไม่นาน
TIP : อาหารจะติดกระทะมากที่สุด ควรหลีกเลี่ยงการปรุงอาหารเปรี้ยวจัด เผ็ดจัด ในกระทะประเภทนี้
4.กระทะกริลล์อลูมิเนียม
การเลือกใช้กระทะกระทะกริลล์อลูมิเนียมจะเหมาะสำหรับสายเนื้อ เพราะเป็นกระทะที่ถูกออกแบบมาเพื่อการย่าง โดยเฉพาะสเต๊กชนิดต่าง ๆ โดยคุณสมบัติจะเหมือนกระทะอลูมิเนียมปกติเลย
- ประเภท : ธรรมดา
- ความแข็งแรง : 3
- การนำความร้อน : 3.5
- เหมาะสมกับอาหารชนิด: อาหารที่ใช้การย่าง เช่น สเต็ก
- จุดแข็ง :กระจายความร้อนได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง
- จุดอ่อน : ใช้งานได้ไม่หลากหลาย
TIP : ต้องทำความสะอาดตอนกระทะเย็นไม่อย่างนั้นกระทะจะเสียความสามารถในการยืดและขยายตัว
5.กระทะสเตนเลส
สำหรับสายผัด เหมาะกับกระทะแบบสเตนเลสที่สุด เพราะกระทะประเภทนี้ไม่ทำปฏิกิริยากับกรด เช่น น้ำมะนาว ไวน์ จึงใช้ทำอาหารผัดได้หลายประเภท อีกทั้งกระทะสเตนเลสมีความทนทานสูง ไม่เป็นสนิม แต่ไม่ควรใช้ทอด เพราะอาหารจะติดกระทะได้ง่าย
- ประเภท : ธรรมดา
- ความแข็งแรง : 4
- การนำความร้อน : 2.5
- เหมาะสมกับอาหารชนิด : เหมาะกับอาหารจำพวกผัด
- จุดแข็ง : ทำความสะอาดง่าย แข็งแรง ไม่เป็นสนิม
- จุดอ่อน : ร้อนช้า
TIP : ควรเลือกกระทะสเตนเลสแบบก้นกระทะทำจากอลูมิเนียมเพราะจะทำให้ร้อนเร็วขึ้น
6.กระทะเคลือบเทฟลอน
การเลือกใช้กระทะเทฟลอนนี่เหมาะกับสาย Healthy อย่างมาก เพราะกระทะเทฟลอนเป็นกระทะมีสารเคลือบทำให้อาหารไม่ติดกระทะ จึงสามารถใช้น้ำมันในการทำอาหารน้อยหรือจะไม่ใช้เลยก็ย่อมได้! และยังทำอาหารได้ทั้งผัดทั้งทอดได้อีกด้วย แต่สารที่เคลือบบนผิวกระทะเทฟลอนมีข้อจำกัดในการทนความร้อน หากใช้ความร้อนสูงมากจนเกินไปเป็นเวลานานก็จะทำให้สารเคลือบเสื่อมสภาพ และทำให้อาหารติดกระทะได้
- ประเภท :เคลือบผิว
- ความแข็งแรง : 3
- การนำความร้อน : 3
- เหมาะสมกับอาหารชนิด : อาหารที่ใช้น้ำมันน้อย หรือไม่ใช้เลย สำหรับสาย healthy
- จุดแข็ง : อาหารไม่ติดกระทะ ใช้กับปรุงอาหารที่ใส่น้ำมันน้อยได้
- จุดอ่อน : หากใช้ไม่ระมัดระวัง อายุการใช้งานจะสั้นลง
TIP : ไม่ควรใช้ไฟแรงเพราะจะทำลายสารเคลือบกระทะทำให้เสื่อมคุณภาพ
ควรใช้ตะหลิวพลาสติก ซิลิโคน หรือไม้เพื่อป้องกันเทฟลอนหลุดลอกออกไปได้
7.กระทะเคลือบหินอ่อน
กระทะเคลือบหินอ่อนมีคุณสมบัติเหมือนกระทะเทฟลอน แต่มีความทนทานกว่า ปลอดภัยกว่า แต่ให้ความร้อนช้ากว่ากระทะเทฟลอน แต่ทนความร้อนได้มากกว่า และเก็บความร้อนไว้ได้นาน แต่ราคาจะสูง
- ประเภท : เคลือบผิว
- ความแข็งแรง : 3.5
- การนำความร้อน :3
- เหมาะสมกับอาหารชนิด: อาหารสารคลีนที่ใช้น้ำมันน้อย สำหรับสาย healthy
- จุดแข็ง : อาหารไม่ติดกระทะ ทนทาน
- จุดอ่อน : ราคาสูง ร้อนช้า
TIP : ตะหลิวที่ใช้ควรเป็นตะหลิวไม้ และซิลิโคน
ชี้แนะประเภทของกระทะเหล็ก
กระทะเหล็กสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก
- กระทะเหล็กแบบจีน
- กระทะเหล็กหล่อ
ซึ่งเหมาะกับการทำอาหารเมนูที่แตกต่างกัน ดังนั้น เราจึงต้องเลือกกระทะให้เหมาะสมกับเมนูอาหารที่เราต้องการทำ
กระทะเหล็กแบบจีน (Wok)
คือ กระทะเหล็กแบบธรรมดาทั่วไปตามร้านอาหารตามสั่งต่างๆ ข้อสังเกต มีลักษณะกระทะจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่และก้นลึก
– คุณสมบัติ : ร้อนเร็ว กระจายความร้อนได้ดี และผัดอาหารได้ในปริมาณมาก
– สำหรับเมนู : ที่เหมาะกับการใช้กระทะเหล็กแบบตีขึ้นรูป ตัวอย่างเช่น ข้าวผัด ไข่เจียว ไก่ทอด ปลาทอด และอาหารเมนูทอดหรือผัดต่าง ๆ ที่ต้องใช้ไฟแรง ๆ หรือน้ำมันเยอะ ๆ
กระทะเหล็กหล่อ (Cast iron)
คือ กระทะเหล็กสไตล์ตะวันตก ข้อสังเกต มีลักษณะก้นตื้นแบนและขนาดไม่ใหญ่มาก
– คุณสมบัติ : นำความร้อนได้ช้า สามารถกระจายความร้อนได้ดี รักษาความร้อนไว้ได้นาน
นอกจากนี้ หลังปรุงอาหารเสร็จยังนำไปเสิร์ฟได้ทันทีโดยไม่ต้องเทใส่จานอีกด้วย
– สำหรับเมนู : ที่เหมาะกับการใช้กระทะเหล็กหล่อขึ้นรูปคือ เมนูที่ใช้การย่างหรือเคี่ยว เช่น สเต็ก แฮมเบิร์ก ซอสต่าง ๆ รวมถึงเมนูที่ต้องนำเข้าเตาอบก็สามารถทำได้
อย่างไรก็ตาม กระทะเหล็กหล่อควบคุมอุณหภูมิได้ยาก จึงไม่เหมาะกับการนำไปใช้ปรุงอาหารที่ต้องใช้อุณหภูมิที่ละเอียดอ่อน
สิ่งที่ควรพิจรณาในการเลือกซื้อกระทะเหล็ก
1.เลือกประเภทของกระทะเหล็ก
จากประเภทของกระทะเหล็กมี 2แบบ กระทะเหล็กตีขึ้นรูปและกระทะเหล็กหล่อขึ้น ซึ่งเหมาะกับการทำอาหารเมนูที่แตกต่างกัน ดังนั้น เราจึงต้องเลือกกระทะให้เหมาะสมกับเมนูอาหารที่เราต้องการทำอาหาร
2.เลือกจากพื้นผิวกระทะเหล็ก
กระทะเหล็กที่วางขายอยู่ทั่วไปนั้นมีพื้นผิวที่แตกต่างกัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีการเคลือบกันสนิมมาให้ และเราต้องทำการเผาเพื่อนำสารกันสนิมออกให้หมดก่อนนำไปใช้ปรุงอาหาร โดยหลังจากเผากระทะแล้วต้องนำน้ำมันมาทากระทะ เพื่อป้องกันการเกิดสนิมและลดปัญหาอาหารติดกระทะ ซึ่งกระทะเหล็กที่เผาเอาสารกันสนิมออกแล้ว จะสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยไม่มีสารเคมี
สำหรับกระทะที่มีการเคลือบกันติด เช่น การเคลือบดำด้วยอีนาเมล เมื่อใช้ไปนาน ๆ การขีดข่วนจากตะหลิว อาจทำให้เกิดการหลุดร่อนและเกิดสนิมได้ จึงต้องระมัดระวังในการใช้งานค่ะ ทั้งนี้ กระทะเหล็กมีขั้นตอนวิธีก่อนใช้งานและหลังใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการเผาหรือการทาน้ำมัน ดังนั้น จึงควรศึกษาวิธีการใช้ให้ดีก่อน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน รวมถึงความปลอดภัยในการใช้ปรุงอาหาร
3.เลือกขนาดกระทะเหล็กให้เหมาะสมกับการใช้งาน
ขนาดกระทะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ควรคำนึงถึง เพราะเตามีหลายขนาด หากซื้อมาเล็กไปหรือใหญ่ไปก็อาจทำให้วางได้ไม่มั่นคง และเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย นอกจากนี้ หากเป็นครอบครัวขนาดเล็ก หรือห้องมีพื้นที่จำกัด การซื้อขนาดกระทะมาใหญ่เกินความจำเป็น นอกจากจะเปลืองพื้นที่การจัดเก็บแล้ว ยังทำให้รู้สึกเกะกะและเคลื่อนย้ายลำบากเวลาใช้งาน หรือหากซื้อกระทะมาขนาดเล็กเกินไป ก็จะทำให้ต้องปรุงอาหารหลายครั้ง ทั้งเหนื่อยและเสียเวลาเพิ่มมากขึ้น
สำหรับขนาด กระทะเหล็กที่ใช้ในครัวเรือนส่วนใหญ่จะมีขนาด 12 นิ้ว แต่หากเป็นครอบครัวใหญ่หรือผู้ประกอบการร้านอาหารควรเลือกกระทะที่มีขนาด 13 นิ้วขึ้นไป ส่วนกระทะเหล็กหล่อโดยทั่วไปนิยมใช้ขนาด 10 – 12 นิ้ว และหากอาศัยอยู่ 1 – 2 คน ขนาด 8 นิ้วก็เพียงพอต่อการใช้งาน
4.เลือกกระทะเหล็กที่มีหูจับ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
หลายคนอาจไม่ได้คำนึงถึงความสำคัญของด้ามจับกระทะ แต่แท้จริงแล้วหูจับกระทะเป็นตัวช่วยที่ดี โดยเฉพาะเวลาทำอาหารในปริมาณมาก เพราะเราจะสามารถเคลื่อนย้ายกระทะได้อย่างมั่นคงขึ้น รวมถึงในระหว่างผัดยังช่วยให้ยกกระทะได้ง่าย และการกระดกกระทะกลับด้านอาหาร นอกจากนี้ หลังล้างทำความสะอาดยังนำไปแขวนตากได้สะดวกประหยัดพื้นที่จัดเก็บอีกด้วย
ด้ามกระทะนั้นมีทั้งแบบหนึ่งหูและแบบสองหู หากใครที่มักจะทำเมนูที่ต้องพลิกอาหารหรือกระดกกระทะบ่อย ๆ กระทะเหล็กแบบที่มีด้ามยาวหนึ่งด้ามและหูจับหนึ่งข้างจะใช้งานได้สะดวกกว่า ส่วนเมนูที่ใช้น้ำมันเยอะหรือผัดอาหารปริมาณเยอะ เลือกกระทะแบบสองหูจะทำให้เคลื่อนย้ายได้ง่ายกว่า ดังนั้นจึงควรเลือกให้เหมาะกับเมนูที่ทำบ่อยและความถนัดของผู้ใช้
ข้อมูลอ้างอิง
ขอบคุณข้อมูลและเรื่องราวดีๆจาก
Wongnai Cooking